เสรีภาพบนโลกนี้มีจริงหรือ?
หญิงสาวที่พยายามค้นหาอิสรภาพ
มาเติมเต็มจิตวิญญาณที่ขาดหาย เขาจะช่วย
เธอได้ไหม หรือใครจะช่วยตอบคำถามนั้นได้
ภาพจาก https://pixabay.com/th/users/Free-Photos-242387/
สะพานกลับบ้าน
โกลเดน เกท
ตั้งตระหง่านพาดผ่านอ่าวทางตอนเหนือของเมืองซานฟรานซิสโก
มลรัฐแคลิฟอร์เนีย เพลานี้มองดูราวจะประกาศอิสรภาพแห่งตนไม่มีที่สิ้นสุด โครงเหล็กอันแข็งแกร่งซึ่งฉาบทาด้วยสีแดงเมื่อยามต้องแสงไฟช่างงดงามระยิบระยับดังทองคำสุกเปล่งก็ไม่ปาน
ทำให้รถราผู้คนที่สัญจรผ่านไปมามองดูกระจิริดด้อยราคาราวกับมดไร
ถัดจากสะพานไม่ไกล
นักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติต่างแข่งกันกดชัตเตอร์อย่างตื่นเต้นสนุกสนาน แต่มีเพียงหญิงสาวรูปร่างผอมบาง
ผิวสีแทน ลักษณะบ่งบอกเป็นชาวเอเชียใต้แหงนหน้ามองโกลเดน เกท ราวถูกสะกด
มือขวากำกระดาษสีขาวแน่น
ขณะที่ริมฝีปากขมุบขมิบราวกับกำลังสวดอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า
แต่ดูเหมือนจะช่วยอะไรใม่ได้เลย นอกจากความกลัวที่คืบคลานเข้ายึดครองทั้งสี่ห้องหัวใจ…
“ข้ามมาสิแพง
ไม่มีดอกผีใต้สะพาน”
เสียงนั้นแว่วดังขึ้นในห้วงคำนึง
หญิงสาวทรุดนั่งกับพื้น น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย
“ไม่!
แพงไม่ไป ยายบอกว่ามีผีอยู่ใต้สะพาน มันจะกินตับแพง”
เสียงเด็กหญิงกรีดร้องขึ้นอีก
มันก้องดังอยู่แบบนั้น ในอดีตอันไกลโพ้นที่ยากจะลืมเลือน…
……….
“ไหน มันอยู่ไหน ผีมันอยู่ไหน?”
เสียงคำรามดังขึ้นด้านหลัง
พร้อมกับท่าทางที่น่ากลัวยิ่งกว่าผีเสียอีก
ทำให้ใบหน้าที่เคยบูดเบี้ยวและเปื้อนคราบน้ำตาของเด็กหญิงผ่อนคลายยิ้มร่าขึ้นทันที
หล่อนโผกอดหญิงชราราวกับได้พบกับนางฟ้าผู้ใจดี
“ยายมาแล้วไม่ต้องกลัว
ผีมันหนีหัวหดไปโน่นแล้ว”
เสียงดังฉะฉานของนางอย่าว่าแต่ผีเลยที่เกรงกลัว
กระทั่งเด็กและผู้ใหญ่ที่ยืนหัวเราะเธอ
ยังต้องพากันวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงหนีไปคนละทิศละทาง
ยายกลายเป็นตัวแทนแห่งความเชื่อมั่น ศรัทธา เป็นเหมือนตัวแทนแห่งความกล้าหาญ
และความยิ่งใหญ่เสมอมา และจะยังคงเป็นความทรงจำที่งดงามเช่นนั้นตลอดไปถ้าหากหล่อนไม่เติบโตขึ้นมารับรู้เรื่องราวใดๆ
แม่กับยายมักจะผลัดเปลี่ยนกันเล่าเรื่องราวในอดีตให้ฟังก่อนนอนเสมอ
หลายคนในหมู่บ้านคือเพื่อนร่วมชะตากรรมซึ่งอพยพมาจากฝั่งซ้ายหนีสงครามอินโดจีนมาด้วยกัน
หญิงสาวหลายรายเพื่อต้องการอาศัยอยู่ในแผ่นดินไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายจึงยอมแต่งงานกับหนุ่มชาวไทย
ไม่เว้นแม้แต่แม่ของหล่อน
เมื่อยายพูดถึงสงคราม
สำหรับเด็กตัวเล็กๆ เช่นหล่อนก็ยากที่จะเข้าใจและนึกภาพสงครามที่จบไปนานแล้วออก
คิดว่าอาจเป็นเพียงแค่นิทานที่ผู้ใหญ่ปั้นแต่งเพื่อหลอกให้เด็กกลัว
จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่ออายุครบเกณฑ์เข้าเรียน
จึงรู้ว่าแท้จริงแล้วสมรภูมิรบไม่เคยจางหาย
หากแต่แอบซ่อนในกมลสันดานมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม
“ลูกลาว
ลูกลาว ลูกลาว”
เสียงล้อเลียนของเพื่อนๆ
มักจะมาพร้อมกับการขว้างปาของก้อนหินแทบทุกวันระหว่างเดินไปโรงเรียนและเดินกลับบ้าน
แรกๆ พอยอมรับได้ แต่เมื่อบ่อยขึ้นหล่อนก็อดน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้
เมื่อเล่าให้ทุกคนในครอบครัวฟัง ทั้งพ่อแม่และยายมักจะบอกให้หล่อนเข้มแข็งอดทน
หล่อนเป็นเพียงแค่เด็กตัวเล็กๆ
สุดจะหยั่งรู้ว่าความเข้มแข้งและพลังใจที่แข็งแกร่งนั้นจะสามารถหาได้จากที่ใด
มันเป็นเรื่องโหดร้ายเกินกว่าที่จะแบกรับภาระอันหนักอึ้งนี้
“มันเป็นลูกลาวอย่าไปคุยกับพวกมัน
ลาวอพยพ”
“หลานยายคำผีปอบ
ระวังมันจะกินตับ”
ความภาคภูมิใจที่เคยมีต่อยายถูกท้าทาย
เพราะลมปากนึกสนุกสนานของคนอื่นทุกวี่วัน
ขณะที่ความเข้มแข็งของหล่อนเองก็ดูราวจะถูกหักโค่นวันแล้ววันเล่า
ความเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เคยมีเต็มเปี่ยมแทบจะไม่หลงเหลือไว้ให้ชื่นชม
“เป็นลาวแล้วมันผิดตรงไหน
ฮือ ฮือ”
หล่อนเคยวิ่งไปกลางท้องทุ่ง
กรีดร้องจนสุดเสียง พร้อมกับปล่อยโฮราวกับคนสติแตก
ในโลกนี้มีผู้คนที่สูญสิ้นแผ่นดินมากมาย
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะต้องสูญสิ้นศักดิ์ศรีหรือจิตวิญญาณในความเป็นมนุษย์
และหล่อนคนหนึ่งที่จะไม่ยอมอยู่อย่างสิ้นหวังเฉกเช่นคนไม่มีทางไป
เมื่อจบชั้นประถมศึกษาคำแพงตัดสินใจเดินทางจากหมู่บ้าน
ทิ้งสมรภูมิรบอันอัปยศอดสูไว้เบื้องหลัง หล่อนไม่เคยลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านได้เลยแม้เพียงวินาทีเดียว
แม้ว่าเพื่อนๆ ร่วมรุ่นจะเห็นเป็นเพียงเรื่องเด็กๆ ขำๆ
แต่สำหรับหล่อนไม่ว่าจะผ่านไปกี่เดือน กี่ปี
แต่เหตุการณ์เหล่านั้นก็ยังเป็นเสมือนสงครามที่สร้างบาดแผลลึกในดวงจิตที่ยากจะลบเลือน
แม้จะมีคนให้โอกาส
จ้างเป็นเด็กเสิร์ฟในภัตตาคารหรู แต่ด้วยวุฒิการศึกษาต่ำ
รูปร่างผอมบางเหมือนคนขี้โรค อีกทั้งหน้าตาที่ไม่ค่อยสวยนัก
แม้จะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว แต่ผู้คนก็ชวนหล่อนทะเลาะไม่เว้นแต่ละวัน
สุดท้ายทนไม่ไหวจึงต้องเปลี่ยนที่ทำงานไปเรื่อยๆ
ทุกครั้งที่รู้สึกเหนื่อยล้ากับชีวิตซึ่งไม่เคยรู้ถึงจุดหมายปลายทาง
หล่อนมักจะเสาะหาสะพานที่ไหนสักแห่งในตัวเมืองเพื่อเอาไว้ปลดปล่อยตัวเองจากเรื่องวุ่นวายใจทั้งหลาย
ดูราวสมรภูมิรบนี้จะมีเพียงหล่อนที่ยืนหยัดรักษาศักดิ์ศรีที่เหลือเพียงน้อยนิดตามลำพัง
มองไปข้างหลัง เห็นยายซึ่งแก่ชราลงทุกวัน นางนิ่งสงบราวกับปลดระวางจากทุกภารกิจแล้วอย่างสิ้นเชิง
ส่วนพ่อกับแม่เพียงแต่คอยยืนมองการต่อสู้ของหล่อนอยู่ห่างๆ
ราวจะบอกเป็นนัยว่าได้มอบศักดิ์ศรีทั้งหมดให้หล่อนปกป้องเท่าชีวิต
สงครามที่ไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลงง่ายๆ
ไม่รู้ว่าจะคุโชนอยู่ในร่างของหล่อนได้ยาวนานสักปานใด
หล่อนวาดหวังสักวันจะมีใครสักคนมาร่วมเป็นพันธมิตรต่อสู้ไปด้วยกัน
และคืนอันวุ่นวายวันหนึ่งเขาก็โผล่เข้ามาในร้านที่หล่อนทำงาน
“พวกเราหัวอกเดียวกัน”
พูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยคเขาก็สรุปได้โดยไม่ต้องวิเคราะห์ให้เนิ่นนาน
จำได้ว่าเป็นประโยคแรกที่ผูกมัดใจหญิงสาว
ทำให้อยากรู้จักเขามากขึ้น เขาเป็นชาวพม่ารูปร่างสันทัด ผิวขาวเหลือง
หน้าตาไม่ต้องพูดถึง ปกติแขกเข้าร้านสาวๆ
จะต้องกรูเข้าไปต้อนรับเพราะหวังเงินเล็กๆ น้อยๆ และถ้าหากบุญพาวาสนาส่ง เผลอๆ
อาจจะเจออาเสี่ยเงินถุงเงินถังรับอุปการะเลี้ยงดูสบายไป แต่พอเขาก้าวเข้ามา สาวเสิร์ฟแทบจะทุกรายก็พร้อมใจกันทำทีเป็นงานเข้าไม่ว่างมาต้อนรับ
เพราะนอกจากจะไม่หล่อแล้วเขายังเป็นคนยิ้มยากราวกับคนอมทุกข์ตลอดเวลา
ด้วยเหตุนี้เองหน้าที่ต้อนรับแขกจึงตกเป็นของคำแพง
และเป็นเช่นนั้นเรื่อยมาทุกคืนตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่เขามาที่ร้าน
ตอนนั้นคำแพงอายุย่างยี่สิบ
ส่วนเขาอายุมากกว่าหนึ่งรอบ
แต่ด้วยทัศนคติที่คล้ายคลึงกันทั้งสองจึงรู้สึกผูกพันอย่างประหลาด
จนกลายเป็นความรักที่ยากจะปฏิเสธ
ก่อนเดินทางจากเมืองนี้
เขาตัดสินใจขอหล่อนแต่งงานแบบสายฟ้าแลบ คำแพงตกลงแต่งงานกับเขาโดยไม่รีรอ
สร้างความช็อกกับทุกคนที่ทราบข่าว ไม่เว้นแม้แต่ครอบครัว
หลายคนต่างโจษจันถึงเรื่องราวของหล่อนไปต่างๆ นานาว่าได้ร่วมหลับนอนกับเขาจนตั้งครรภ์
บ้างว่าหล่อนใจง่ายไม่มีปัญญาหาสามีถึงกับต้องจำใจแต่งงานกับชายแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันเพียงชั่วข้ามคืน
แต่ไม่มีใครสักคนที่ล่วงรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงซึ่งซุกซ่อนอยู่ในใจลึกๆ ของคำแพง
วันที่หล่อนลาออกจากงาน
จำได้ถึงสายตาทุกคู่ของเพื่อนร่วมงานที่จ้องมองอย่างดูถูกเหยียดหยาม
ไม่เว้นแม้แต่เจ้าของร้าน
“คิดดีแล้วหรือที่จะออกไปแต่งงานแบบนี้
อายุยังน้อยทำไมไม่ตั้งใจทำงานเก็บเงินก่อน ที่บ้านเธอก็ยังลำบากไม่ใช่เหรอ
สมัยนี้ใช่ว่างานจะหาง่ายๆ วุฒิการศึกษาแค่นี้จะไปหางานที่ดีกว่านี้คงไม่ได้หรอก
เจ๊สงสารหรอกนะจึงรับเธอเข้ามา”
หล่อนกล่าวขอบคุณตามมารยาท
ก่อนจะรับเงินค่าแรงงวดสุดท้ายจากนางมา
“แล้วนี่ออกไปจะไปทำอะไรที่ไหน
แล้วผัวเธอมีปัญญาหาเลี้ยงรึเปล่า?”
นางถามต่อหน้าสามีซึ่งยืนคอยอยู่ไม่ห่าง
สายตาดูแคลนอย่างเห็นได้ชัด คำแพงรู้สึกโกรธที่นางไม่ให้เกียรติเขา
แต่ก็ระงับไว้ไม่แสดงออก หันไปทางสามีแล้วถามเขาเสียงดังราวจะให้ทุกคนในร้านได้ยิน
“คุณเป็นแค่ศิลปิน
ลำพังวาดภาพขาย คุณนายถามว่าคุณจะมีปัญญาเลี้ยงดูฉันหรือเปล่าคะ?”
คำถามของหล่อนทำเอานาคินถึงกับสะอึก
แต่ด้วยไหวพริบที่ดี รู้ว่าหล่อนต้องการความช่วยเหลือ เขาจึงรับมุก
ชนิดทำเอาคนฟังต้องจดจำไปอีกนานแสนนาน
“ไม่รู้สิครับ
บางภาพผมก็ขายได้ราคาไม่เท่าไหร่ แค่สี่ห้าล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยก็แค่ไม่กี่สิบล้านบาท
ไม่รู้ว่าคุณจะพอใช้หรือเปล่า”
“ฮะ ฮะ ฮะ…”
เสียงหัวเราะของทั้งสองดังประสานกันลั่นตลอดทาง
เพลานั้นพวกเขาไม่สนใจต่อสายตาผู้คนที่มองมาด้วยความประหลาดใจ
ราวกับโลกนี้มีเพียงเขากับเธอ เป็นครั้งแรกที่คำแพงรู้สึกว่าได้ปลดเปลื้องจากพันธนาการบางอย่างที่ได้แบกรับมาชั่วชีวิต
อเมริกา…ดินแดนแห่งเสรีภาพ ใครๆ ต่างพูดถึงเช่นนั้น
แม้จะทราบว่าสามีอาศัยอยู่อเมริกาในฐานะพลเมืองชั้นสอง
แต่อย่างน้อยเขาก็มีฐานะทางการเงินดีพอที่จะเลี้ยงดูหล่อนได้อย่างไม่ขัดสน
แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่เขาได้รับยกย่องจากชาวต่างชาติในฐานะศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับโลก
เกียรติยศและศักดิ์ศรีอันหอมหวานเหล่านี้ต่างหากที่เสมือนโอสถทิพย์จากสรวงสวรรค์ซึ่งหล่อนเสาะแสวงหามาเนิ่นนาน
วาดฝันเหลือเกินมันจะช่วยเยียวยาบาดแผลในใจ ปกปิดปมด้อยอันขมขื่น
และเติมเต็มศักดิ์ศรีในฐานะความเป็นมนุษย์ให้สูงเด่น
หลังจากฐานะของสามีถูกเปิดเผย
เพื่อนเก่าแก่ที่ห่างหายไปแสนนาน
ผู้คนที่ไม่เคยคุ้นหน้าคุ้นตาต่างก็หลั่งไหลมาเยือนถึงเรือนชาน
บ้านเล็กซอมซ่อแค่ไหนก็ไม่มีใครรังเกียจ เมื่อยิ่งมีเหล้ามีเบียร์มาวางอยู่ตรงหน้า
ผู้คนต่างพากันสรรเสริญเยินยอ พอทราบข่าวว่าหล่อนกำลังจะเดินทางไปอเมริกากับสามี
ต่างพากันชื่นชมกันถ้วนหน้า
“ดีเหลือเกินคำแพง
บุญวาสนาของเอ็งแท้ๆ ไปอยู่อเมริกา พอร่ำรวยแล้วก็อย่าลืมกันนะ”
ขณะที่ใบหน้าทุกคนชื่นบาน
หัวเราะสนุกสนานเพราะน้ำเมา แต่คนในครอบครัวหล่อนไม่มีใครเลยสักคนที่รู้สึกยินดีกับการเดินทางครั้งนี้
เงินสินสอดมากมายที่กองอยู่ตรงหน้า พ่อแม่หล่อนแทบจะไม่ชายตามอง
ด้ายสีขาวเส้นบางๆ
จากมืออันสั่นเทาของผู้เป็นยายบรรจงผูกที่ข้อมือของหญิงสาวและสามีเส้นแล้วเส้นเล่าด้วยน้ำตาที่หลายคนไม่อาจหยั่งรู้ถึงความหมายของมัน
แต่มีคำพูดประโยคหนึ่งที่หลุดจากปากนาง ได้กระตุกดวงใจหล่อนไม่เคยลืมเลือน…
“น่าสังเวชใจจริงๆ
ลูกหลานเอ๋ย พวกเจ้าสิ้นแผ่นดินจนต้องไปขออาศัยพวกฝรั่งหัวแดงอยู่”
……….
น้ำตาคำแพงไหลรินโดยไม่รู้สึกตัว
ไม่รู้ว่าเป็นเวลายาวนานเท่าไหร่ที่หล่อนนั่งจ้องจดหมายตรงหน้า
เมื่อสามีเข้ามาโอบกอดทางด้านหลัง สติของหล่อนจึงกลับมาอีกครั้ง
“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
ทำใจเสียบ้างเถิดแพงเอ๋ย”
หล่อนมองสามีน้ำตานองหน้า
สุดจะเอ่ยสิ่งที่ติดค้างคาใจ
เคยคิดว่าเมื่อหนีมาอยู่อเมริกาจะทำให้เลิกโหยหาเสรีภาพ แต่สิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้คือ
ชาติกำเนิด พลเมืองชั้นสองไม่ว่าจะไปอาศัยอยู่ ณ แห่งหนตำบลใด
ก็ไม่ต่างจากสินค้ามือสองที่ผู้คนกดราคาต่ำกว่ามาตรฐาน
สุดท้ายสิ่งที่คนเราโหยหาที่สุดคืออะไร ?
“น่าแปลกนะ
ในโลกนี้ผมสามารถเดินทางไปได้ทุกหนทุกแห่ง ยกเว้นเพียงแห่งเดียวที่ผมอยากกลับไปที่สุด
แต่กลับถูกรัฐบาลขึ้นบัญชีดำไม่ให้เข้าประเทศ ทั้งๆ ที่มันเป็นบ้านเกิดของผมเอง”
ครั้งหนึ่งสามีเคยเผยความในใจ
แม้จะไม่ได้บอกตรงๆ ว่าคิดถึงแผ่นดินเกิดเพียงใด
แต่หล่อนก็แอบล่วงรู้ความจริงจากภาพวาดของเขาหลายๆ ชิ้นว่าส่วนลึกในใจโหยหา “บ้าน” ไม่น้อยไปกว่าเธอ
“แพงเกลียดสงคราม
เพราะสงครามถึงทำให้ผู้คนต้องพลัดพรากจากครอบครัว”
คำพูดของภรรยาราวกับเข็มนับล้านเล่มกระหน่ำทิ่มแทงใจ
จากที่ต้องการฉุดช่วยหล่อนขึ้นจากหุบเหวแห่งความทรงจำอันเลวร้าย แต่กลับกลายเป็นว่าเขาต้องเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำพลัดตกสู่ก้นเหวนรกแห่งอดีตเสียเอง
………..
“ไป ไป
วิ่งหนีไป้!”
แม้กาลเวลาจะผ่านพ้นไปเกือบสามสิบกว่าปี
แต่เสียงของพ่อกับแม่ที่คอยตะโกนกำกับอยู่เบื้องหลัง
พร้อมกับเสียงปืนของเหล่าทหารโฉดยังดังกึกก้องในโสตประสาทราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
จำได้ว่าตอนนั้นเขากับพ่อแม่และน้องสาววัย
5 ขวบ
ต่างวิ่งหนีเอาตัวรอดจากห่ากระสุนปืนอย่างสุดชีวิต
“ฆ่ามัน
อย่าให้มันข้ามไปได้”
พอใกล้ถึงเชิงสะพานข้ามฝั่งไทย-พม่า
ความชุลมุนวุ่นวาย ทำให้เขาพลัดหลงจากครอบครัว พยายามวิ่งค้นหาอยู่นาน เมื่อผู้คนเริ่มเบาบาง
ห่างจากสะพานประมาณห้าสิบเมตรเขาพบพ่อแม่และน้องสาว แต่พวกเขาไม่ได้อยู่ตามลำพัง
รอบกายมีทหารชาติเดียวกันสามนายยืนขนาบใช้กระบอกปืนจ่อที่ศีรษะ
น้องสาวเขาหวีดร้องไม่ยอมหยุด
ขณะที่สายตาพ่อกับแม่จ้องมองมาที่เขาส่งสัญญาณให้หนีไป
“ไป ไป
อย่าเข้ามา วิ่งหนีไป้!”
เสียงหวีดร้องของพ่อกับแม่ดังแหวกอากาศและจบลงด้วยเสียงปืน
พวกมันกราดยิงราวกับคนสติแตก ทั้งสามชีวิตล้มลงสิ้นใจต่อหน้าต่อตาเขา
ทันทีที่ตั้งสติได้เขาหันหลังวิ่งฝ่าฝูงชนหนีตายสุดชีวิต
พร้อมกรีดร้องโหยหวนราวกับคนหัวใจแตกสลายไปตลอดทาง ขณะที่เสียงระเบิดและเสียงปืนไล่ตามหลังอย่างกระชั้นชิด
แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน
แต่ทว่าภาพวินาทีการสังเวยชีวิตของครอบครัวและเพื่อนบ้านให้กับอสูรสงครามยังคงติดตามมาหลอกหลอนทุกฝีก้าวไม่เว้นแม้ปัจจุบัน
ต่อมาเขากับเพื่อนร่วมชาติได้ถูกนำไปยังศูนย์อพยพเขตชายแดนไทยชั่วคราว
อยู่ที่นี่ได้ไม่นานก็มีสองสามีภรรยาชาวอเมริกันมารับไปเป็นบุตรบุญธรรม
หลายคนอาจคิดว่าเขาช่างโชคดีที่ได้เป็นพลเมืองสหรัฐฯ
เพราะนอกจากทั้งสองจะแสนดีกับเขาแล้วยังให้การสนับสนุนในทุกด้านไม่น้อยหน้าเด็กอเมริกันคนอื่นๆ
เขาต้องการเป็นจิตกรเมื่อเรียนจบปริญญาตรี ทั้งสองก็สนับสนุนเต็มที่
และด้วยพรสวรรค์ด้านศิลปะอันโดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
แทนที่จะได้รับการยกย่องในฐานะพลเมืองพม่า
แต่กลับกลายเป็นบุคลากรที่เปี่ยมศักยภาพของชาติอื่น
เมื่อทอดสายตามองผลงานศิลปะชิ้นแล้วชิ้นเล่า
หนุ่มใหญ่ได้แต่นึกสะท้อนขึ้นในอก และหดหู่ใจเสมอ เพราะไม่มีภาพไหนเลยที่จะไม่ถูกรังสรรค์ขึ้นจากประสบการณ์อันขมขื่น
และจากจิตวิญญาณที่โหยไห้ถึงเสรีภาพ
……….
“แพงจะกลับบ้าน”
รุ่งขึ้นหญิงสาวตัดสินใจบอกกับสามี
หล่อนต้องรวบรวมความกล้าหาญตลอดทั้งคืน กว่าจะสามารถพูดประโยคนี้ออกมา
ถ้าหากเปรียบการเดินทางกลับบ้านคือการข้ามสะพานที่หล่อนรู้สึกเกลียดกลัว
การตัดสินใจข้ามสะพานครั้งนี้จะเป็นการตัดสินว่าหล่อนจะสามารถฝ่าด่านเอาชนะภูตผีใต้สะพานได้หรือไม่
หรือจะต้องทนทุกข์อยู่กับความเกลียดกลัวที่คอยหลอกหลอนเช่นนี้ตลอดไป
“แต่งานแสดงศิลปะของผมที่อิตาลีจะมีขึ้นอีกไม่กี่วันข้างหน้า
งานนี้ผมจะต้องขึ้นรับรางวัลในฐานะศิลปินที่นำเสนอผลงานด้านสันติภาพ
วันนั้นผมต้องการให้คุณอยู่ด้วย”
“แต่ในจดหมายยายกำลังจะ…”
หล่อนไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถึงประโยคต่อไป
สามีมองหล่อนด้วยความเห็นอกเห็นใจ
“ถ้างั้นอีกสามวันพอเสร็จงานที่อิตาลี
พวกเราจะกลับไปเยี่ยมยายพร้อมกัน ผมให้สัญญา” คำพูดของสามีทำให้หล่อนยิ้มออก
แต่ลึกๆ ก็แอบกังวลใจต่างๆ นานาไม่ได้
งานแสดงนิทรรศการศิลปะนานาชาติจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่พิพิธภัณฑ์หอศิลป์เก่าแก่แห่งหนึ่งในกรุงโรม
ศิลปินที่ได้รับเชิญเข้าร่วมแสดงผลงานล้วนแต่เป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
ซึ่งเดินทางมาจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือ นาคิน คะยอ ขิ่น
จิตกรจากเอเชียใต้
เมื่อยืนท่ามกลางศิลปินนานาชาติ
ตัวเขาดูเตี้ยม่อต้อจนมองไม่เห็น
แต่เมื่อพูดถึงผลงานกลับโดดเด่นและสะเทือนอารมณ์สูงสุด จนผู้เชี่ยวชาญทางด้านศิลปะจากทั่วโลกต่างยกย่องให้เป็นภาพวาดยอดเยี่ยมแห่งปี
ผู้เสพศิลปะทั้งหลายต่างพากันชื่นชมและสงสัย
ทำไมพระเจ้าจึงได้มอบพรสวรรค์อันล้ำค่าแก่ชายผิวขาวเหลืองผู้นี้อย่างมากมาย
ผลงานชิ้นเอกของเขาไม่ว่าจะดูสักกี่ครั้งก็เหมือนภาพถ่ายจากเหตุการณ์จริงชัดๆ
แต่ความจริงไม่มีใครล่วงรู้ว่านั่นคือเลือดเนื้อและจิตวิญญาณที่ศิลปินต้องแลกมาจากปีศาจร้ายกระหายสงคราม
“ผมอยากมอบรางวัลอันทรงคุณค่านี้ให้กับครอบครัวของผมที่เสียชีวิตในระหว่างสงครามกลางเมือง
และภรรยาที่อยู่เคียงข้างผมตลอดมา คำแพง คะยอ ขิ่น”
เขาผายมือไปทางสุภาพสตรีที่นั่งเป็นแขกรับเชิญอยู่ด้านหน้าเวที
คำแพงรู้สึกใจเต้นระทึก เมื่อเสียงปรบมือให้เกียรติดังกึกก้อง
หล่อนลุกขึ้นโค้งเล็กน้อยเพื่อขอบคุณ เหมือนเช่นทุกงานที่ผ่านมา
เพียงแต่ว่างานนี้ยิ่งใหญ่อลังการกว่าทุกครั้ง จึงทำให้หล่อนอดที่จะแสดงอาการประหม่าออกมาไม่ได้
แต่โชคดีที่สามีช่วยดึงความสนใจของแขกผู้มาร่วมงานให้หันไปบนเวทีแทนที่จะจ้องจับผิดที่หล่อน
“แม้มันจะยากเย็นเกินไปที่จะทำให้สันติภาพเกิดขึ้นได้ในประเทศเล็กๆ
ของผม แต่ผมก็ยังปรารถนาอย่างที่สุดว่าสันติภาพจะเบ่งบานไปทั่วทุกมุมโลกในไม่ช้า
โดยเริ่มต้นจากหัวใจของทุกท่านที่อยู่ ณ ตรงนี้
โปรดเก็บรักษาสันติภาพในหัวใจพวกท่านไว้ เพราะหากสูญเสียมันไปเมื่อไหร่
จิตวิญญาณจะต้องร่ำไห้ไปจนชั่วลูกหลาน”
……….
เสียงปรบมือของแขกผู้ทรงเกียรติยังคงดังกึกก้องยาวนาน
แม้ว่าในเวลานี้ทั้งสองจะนั่งอยู่บนเครื่องบิน แต่ทว่าเสียงแห่งความชื่นชมยินดีก็ยังไม่เลือนหายจากโสตประสาทสัมผัส
“ถ้าพ่อแม่และทุกคนในประเทศของคุณมาเห็นภาพวันนี้
พวกเขาคงจะดีใจไม่น้อยเลยนะคะ”
หล่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขใจแทนสามี
จิตกรวัยกลางคนนิ่งเงียบ สายตาทอดมองเบื้องหน้า แต่ทว่าว่างเปล่า
อาการเฉยเมยของสามีทำให้คำแพงค่อยๆ หุบยิ้มหวานลง หล่อนหันไปนอกหน้าต่าง
เห็นปุยเมฆสีขาวล่องลอยไร้จุดหมาย หญิงสาวเริ่มคิดถึงปลายทางของตนอีกวาระ ทั้งๆ
ที่ก่อนตัดสินใจกลับประเทศไทยได้บอกตัวเองว่าอย่าคาดหวังสิ่งใดจากการเดินทางครั้งนี้
แต่ก็อดจินตนาการไม่ได้ว่าเมื่อกลับถึงหมู่บ้านหล่อนจะได้รับการยอมรับหรือไม่
เพื่อนบ้านจะต้อนรับหล่อนด้วยความรู้สึกเช่นไร
คำแพงนึกตำหนิตัวเองแทนที่จะห่วงอาการของยาย
กลับต้องมานั่งกังวลถึงเรื่องไร้สาระ
หล่อนสลัดความคิดฟุ้งซ่านในสมองทิ้งไปเมื่อสามีขยับเอนกายพักผ่อน
รู้สึกเป็นห่วงเขาอย่างจับใจเมื่อสังเกตเห็นความอิดโรยบนใบหน้า
แต่ใจหนึ่งก็ยังนึกสงสัยไม่หายกับภาพวาดที่ใครๆ
ต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมือนจริงราวกับมีจิตวิญญาณ
“ทุกครั้งที่วาดภาพเกี่ยวกับสงคราม
ทำไมคุณจึงชอบวาดภาพสะพานขาดจางๆ เป็นภาพแบล็คกราวด้วยคะ?”
เขายิ้มก่อนตอบคำถาม “ชีวิตคนเราก็เหมือนการเดินทาง ในโลกนี้มีถนนหลายสาย
มีสะพานหลายแห่งที่รองรับฝ่าเท้าเล็กๆ มนุษย์ให้เหยียบย่ำไป
ในความหมายของผมไม่มีใครเป็นเจ้าของถนน หรือสามารถยึดครองเป็นเจ้าของสะพาน
ทุกคนสามารถโบยบินไปที่ไหนก็ได้ตามแต่หัวใจปรารถนา
แต่ถ้าหากจิตวิญญาณของคนเราถูกกักขัง ล้อมกรอบไม่ให้ฝันถึงเสรีภาพ
ชีวิตก็ไม่ต่างจากถนนที่ขาดหรือสะพานที่หักโค่น
เป็นความจริงที่ว่าในโลกนี้ไม่มีประเทศไหน หรือชุมชนไหนที่จะไม่มีความขัดแย้ง
แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายใน
เราทุกคนต่างถูกปีศาจร้ายครอบงำและบงการให้นำสงครามจากภายในสู่ภายนอก นั่นจึงเป็นสาเหตุทำให้โลกเกิดสงคราม”
หญิงสาวนิ่งอึ้งเล็กน้อยกับคำตอบของสามี
ก่อนจะยื่นจมูกไปหอมแก้มเขาเบาๆ แล้วกอดกระชับแขนเขาแน่นราวกับเด็กตัวเล็กๆ
ได้ของขวัญถูกใจ
“ขอบคุณนะคะ
แพงเข้าใจแล้ว”
เขาหันมองหล่อนอย่างนึกฉงน
กำลังจะพูดต่อ แต่พอเห็นภรรยาหลับตาพริ้มเหมือนเด็กไร้เดียงสาจึงนิ่งเสีย
จากนั้นทั้งคู่ก็หลับผล็อยด้วยความเหนื่อยอ่อนไปพร้อมๆ กัน
……….
“มาแล้วรึเจ้าแพง?”
แม้เสียงหญิงชราจะดังแหบโหย
แต่ทว่าแววตากลับเต็มไปด้วยความสุขเหลือล้น
เมื่อมองเห็นหลานสาวคนเดียวกลับสู่อ้อมอกอีกครั้ง
หญิงสาวก้มกราบบนตักของหญิงชรา
นางอยากลุกขึ้นโอบกอดรับขวัญหลานสาวเจียนใจจะขาด
แต่ทำได้ดีที่สุดเพียงแค่ยื่นมือขวาที่ยังพอมีเรี่ยวแรงไปลูบไล้ศีรษะเบาๆ
“ยายจ๋าแพงขอโทษที่…”
หญิงชราโบกมือห้าม
เพราะไม่อยากให้หล่อนรู้สึกผิด
เพียงแต่ได้เห็นหน้าหล่อนก่อนจากนางก็รู้สึกดีใจมากแล้ว
แม่บอกว่าหลังจากหล่อนเดินทางไปอเมริกาได้สามปี
ยายก็ล้มป่วยด้วยโรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง สองปีแรกอาการไม่รุนแรงมากนัก
แต่พอปีนี้อาการยายทรุดหนักลงเรื่อยๆ ประกอบกับอายุมากขึ้น
ยิ่งทำให้อาการน่าเป็นห่วง เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วแม่พายายไปโรงพยาบาลในตัวเมือง
หมอทุกคนต่างส่ายหน้าหมดปัญญาจะรักษา
“หลังจากลูกไปอเมริกา
ไม่รู้ว่ายายแกคิดอะไร มักจะเดินไปที่สะพานข้ามคลองบ่อยๆ
บางครั้งก็ยืนจ้องสะพานเป็นเวลานาน และชอบนั่งมองเด็กๆ
ในหมู่บ้านมาเล่นน้ำกันทีเป็นครึ่งค่อนวัน จนใครๆ คิดว่าแกเป็นโรคประสาท”
พฤติกรรมของยายแม้ทุกคนจะมองว่าแปลกประหลาด
แต่สำหรับคำแพงคาดเดาออกถึงความปรารถนาลึกๆ นั้น
“ยายจ๋า
ยายยังอยากจะกลับบ้านเกิดอยู่อีกไหม ตอนนี้ทางการไทยลาวเขาเปิดพรมแดนแล้วนะ
เอาไว้ให้ยายหายดีเมื่อไหร่ แพงจะพายายข้ามไปเยี่ยมญาติๆ ฝั่งโน้นดีไหมจ๊ะ?”
คำบอกเล่าของหลานสาว
ทำให้หญิงชรามีปฏิกิริยาโต้ตอบบ้างเล็กน้อย แววตาพร่าเลือนของนางกลอกกลิ้งไปมา
ขณะที่ริมฝีปากเผยอยิ้มอย่างมีความหมาย
ราวกับใบไม้ที่เฉี่ยวเฉาได้สัมผัสหยาดฝนครั้งแรก แต่แล้วจู่ๆ
ใบไม้นั้นก็เหี่ยวหุบดังเดิม ดูราวสิ่งที่กำลังได้ยินยังอยู่อีกแสนไกล…
“ยายเดินมาไกลจนใกล้ถึงตะวันตกดินเต็มทีแล้วคำแพงเอ๋ย
ไม่มีประโยชน์อันใดจะหวนกลับไปอีก”
ถ้อยคำนั้นทำให้ทุกคนนึกสะท้อนใจ
แม่ของคำแพงถึงกับเผลอทอดถอนใจเสียงดัง
“มาถึงขนาดนี้แล้ว
แม่ยังจะปิดหลานไปอีกทำไม” คำแพงหันมองแม่อย่างนึกสงสัย
“เอาเถอะคำพา
เอ็งช่วยหยิบกล่องใบนั้นมาให้แม่ที”
แม่คำพาลุกเดินหายเข้าไปในห้องพระ
ไม่ถึงสิบนาทีก็กลับออกมาพร้อมกับกล่องไม้เนื้อดีขนาดย่อม
ตัวกล่องถูกแกะสลักด้วยลวดลายโบราณดูวิจิตรงดงามและแปลกตา
นั่นยิ่งสร้างความอยากรู้อยากเห็นให้กับคำแพงและทุกคนมากขึ้น
“เอาให้แพงเก็บไว้”
หญิงชรากล่าวเสียงเบาหวิว แม่ยื่นกล่องไม้แกะสลักส่งให้คำแพง
หล่อนรับไว้ทั้งๆ ที่อยู่ในอาการงุนงง
“เปิดดูสิ”
แววตาหญิงชรามองดูเหนื่อยล้า ขณะที่เสียงเริ่มขาดหาย
แม่พยักหน้าให้หล่อนรีบเปิด
“แหวนมรกตแท้อันล้ำค่า
และหายาก ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นมรดกของท่านเจ้าเมืองในแว่นแคว้นหนึ่งของลาว
เจ้าเมืองมอบแหวนนี้ให้ยายในวันแต่ง”
นางกล่าวเรื่อยๆ
ขณะที่เปลือกตาเริ่มหนักอึ้งขึ้นทุกที
“เขาเป็นตาของเจ้า
เขาเองก็คงอยากจะมอบสิ่งนี้ให้เจ้าเหมือนกับยาย
ถ้าเจ้ามีลูกหลานก็บอกกับพวกเขาว่าไม่ต้องเสียใจที่เกิดในแผ่นดินอื่น อย่ารังเกียจชาติกำเนิดของตน
เพราะสิ่งที่บรรพบุรุษของเราทำไว้ มีแต่ความดี”
คำแพงจ้องแหวนมรกตในกล่องอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
มือหล่อนสั่นระริก ขณะที่น้ำตาไหลรินโดยไม่รู้สึกตัว
“เจ้าอาจจะเคยนึกน้อยใจในชาติกำเนิด
แต่ไม่ว่าเจ้าจะมาจากไหน มีประโยชน์อันใดที่จะต้องใส่ใจกับสมมุติเหล่านั้น
ความดีต่างหากจะเป็นเหมือนสะพานนำพาดวงจิตของเราไปสู่อิสรภาพ
เมื่อข้ามไปสู่อีกฟากฝั่งต่อจากนี้…”
หญิงสาวสะอื้นไห้
ก่อนจะก้มกราบเท้าอันเย็นเฉียบของหญิงชราด้วยสำนึกในพระคุณ
พ่อกับแม่ของหล่อนทยอยเข้ามากราบเพื่อขอขมา เมื่อสังเกตเสียงนางเริ่มขาดเหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่าด้ายเส้นสุดท้ายกำลังจะขาดลอย
หล่อนกระซิบบอกหญิงชราเสียงสั่นเครือ
“ยายจ๋า
นาคินมีอะไรบางอย่างจะให้ยายด้วยค่ะ” นางครางเบาๆ
เป็นการรับรู้
“โล่รางวัลของศิลปินสาขาสันติภาพนี้
ผมกับแพงขอมอบให้ยายครับ”
หญิงชราหลับตาพริ้ม ขณะที่มือลูบคลำโล่รางวัลที่ทำจากทองคำแท้นั้นไปมา
ท่าทางราวกับได้ปลดปล่อย และผ่อนคลายจากเรื่องราวทั้งปวง
ก่อนจะเอ่ยขอบใจเขาซ้ำไปซ้ำมา เสียงนั้นค่อยๆ
เลือนหายไปพร้อมกับสายลมที่พัดวูบผ่านมา
……….
หลังจากลอยอังคารของยายในแม่น้ำโขงเสร็จเช้าวันนั้น
ทั้งคู่ตัดสินใจเดินข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาวที่เพิ่งเปิดอย่างเป็นทางการครั้งแรก
และเป็นครั้งแรกที่หญิงสาวรู้สึกราวกับว่าได้คืนสู่เหย้าพร้อมกับคนที่เธอเคารพรักอย่างแท้จริง
“กลับบ้านด้วยกันนะคะยาย”
คำแพงเอ่ยขึ้นเบาๆ
ก่อนจะหันไปรอบๆ หวังว่าดวงวิญญาณของยายจะรับรู้ ทันใดนั้นสายลมจากแม่น้ำโขงได้พัดมาปะทะร่างทั้งสองอย่างอ่อนโยน
หญิงสาวกับสามีส่งยิ้มให้กันอย่างมีความหมาย มือทั้งคู่สอดประสานแนบแน่น ขณะเดินก้าวข้ามสะพานมิตรภาพฯ
ไปด้วยกัน…
ไม่มีความคิดเห็น:
โพสต์ความคิดเห็น